Skip to content

Welcome to Lounge Lovers Store

Lounge Lovers
Now Reading:
The 80/20 Rule จัด ตู้เก็บของ อย่างไรให้หยิบของที่ใช้บ่อย 20% ได้ง่ายที่สุด
Next article

The 80/20 Rule จัด ตู้เก็บของ อย่างไรให้หยิบของที่ใช้บ่อย 20% ได้ง่ายที่สุด

หลักการ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎพาเรโต" (Pareto Principle) เป็นแนวคิดที่ว่าโดยทั่วไปแล้ว 80% ของผลลัพธ์มาจากสาเหตุเพียง 20% เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดเก็บของในบ้าน หลักการนี้บอกเราว่า เรามักใช้ของเพียง 20% บ่อยๆ ในขณะที่อีก 80% แทบไม่ได้แตะต้อง แต่กลับกินพื้นที่ส่วนใหญ่ในบ้านของเรา

การจัด ตู้เก็บของ ให้มีประสิทธิภาพตามหลัก 80/20 ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้บ่อยๆ อีกด้วย บทความนี้จะแนะนำวิธีการจัดเก็บของอย่างชาญฉลาดตามหลักการ 80/20 พร้อมเทคนิค Interior Design จากผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้บ้านของคุณทั้งสวยงามและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ของในบ้าน

ก่อนที่จะเริ่มจัด ตู้เก็บของ ตามหลัก 80/20 คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ของในบ้านก่อน ลองสังเกตว่าของชิ้นไหนที่คุณหยิบใช้บ่อยที่สุดในแต่ละห้อง

สำรวจของที่ใช้บ่อย 20%

จากสถิติพบว่า ในห้องครัวทั่วไป เราใช้อุปกรณ์ทำอาหารเพียง 20% เป็นประจำทุกวัน เช่น มีด เขียง หม้อหุงข้าว กระทะ และเครื่องปรุงพื้นฐาน ส่วนในห้องแต่งตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นประจำมีเพียง 20% ของเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้

ลองทำรายการของใช้ที่คุณหยิบบ่อยที่สุดในแต่ละห้อง และจัดหมวดหมู่ตามความถี่ในการใช้งาน:

  • ใช้ทุกวัน

  • ใช้ทุกสัปดาห์

  • ใช้ทุกเดือน

  • ใช้ตามฤดูกาล

  • แทบไม่ได้ใช้เลย

ตัดสินใจว่าอะไรควรเก็บ อะไรควรทิ้ง

หลังจากวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ของแล้ว ถึงเวลาตัดสินใจว่าอะไรควรเก็บไว้ อะไรควรบริจาค หรือกำจัดทิ้ง ตามสถิติจาก Home Stylist ชั้นนำ พบว่า 45% ของคนไทยเก็บของที่ไม่จำเป็นไว้มากเกินไป ทำให้พื้นที่ใช้สอยในบ้านลดลงโดยไม่จำเป็น

หลักการจัด ตู้เก็บของ ตามกฎ 80/20

จัดวางของใช้บ่อย 20% ให้เข้าถึงง่ายที่สุด

หลักการสำคัญของการจัด ตู้เก็บของ ตามกฎ 80/20 คือ การจัดวางของที่ใช้บ่อย 20% ให้อยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด นั่นหมายถึง:

  1. ระดับสายตา: จัดวางของใช้บ่อยไว้ที่ชั้นระดับสายตา เพราะเป็นตำแหน่งที่หยิบจับได้สะดวกที่สุด

  2. ระยะเอื้อมถึง: ของที่ใช้ทุกวันควรอยู่ในระยะที่เอื้อมถึงได้โดยไม่ต้องใช้บันได

  3. ความสะดวก: จัดวางให้สามารถหยิบได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของอื่นๆ

จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้าน Interior Design พบว่า การจัดวางของใช้บ่อยในตำแหน่งที่เหมาะสมสามารถลดเวลาในการค้นหาสิ่งของได้ถึง 30% และลดความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีนัยสำคัญ

จัดเก็บของใช้น้อย 80% อย่างเป็นระบบ

สำหรับของที่ใช้ไม่บ่อย ซึ่งมีประมาณ 80% ควรจัดเก็บดังนี้:

  1. ชั้นบนสุดหรือล่างสุด: เก็บของที่ใช้นานๆ ครั้งไว้ที่ชั้นบนสุดหรือล่างสุดของตู้

  2. จัดเป็นหมวดหมู่: แม้จะใช้ไม่บ่อย แต่ควรจัดเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจน เพื่อให้หาได้ง่ายเมื่อต้องการใช้

  3. ใช้ระบบป้ายกำกับ: ติดป้ายบอกว่าในกล่องหรือชั้นนั้นมีอะไรบ้าง

เทคนิค Interior Design สำหรับตู้เก็บของที่ลงตัว

การจัด ตู้เก็บของ ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความสวยงามที่กลมกลืนกับการตกแต่งภายในบ้านด้วย นี่คือเทคนิคจาก Home Stylist มืออาชีพ:

เลือกตู้เก็บของที่เหมาะกับพื้นที่และการใช้งาน

การเลือก ตู้เก็บของ ที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:

  1. ขนาดพื้นที่: วัดพื้นที่ให้แน่ชัดก่อนเลือกซื้อตู้

  2. ลักษณะการใช้งาน: ตู้สำหรับห้องครัวควรทนความชื้น ตู้เสื้อผ้าควรมีพื้นที่แขวนและพื้นที่พับเก็บ

  3. สไตล์การตกแต่ง: เลือกตู้ที่เข้ากับสไตล์การตกแต่งโดยรวมของบ้าน

สถิติจากสมาคมมัณฑนากรไทยระบุว่า 65% ของปัญหาการจัดเก็บในบ้านเกิดจากการเลือกเฟอร์นิเจอร์เก็บของที่ไม่เหมาะกับลักษณะการใช้งานจริง

ใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ

อุปกรณ์เสริมต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บได้อย่างมาก:

  1. ตะกร้าและกล่อง: ช่วยแบ่งพื้นที่ภายในตู้ให้เป็นสัดส่วน

  2. ที่แขวน: เพิ่มพื้นที่จัดเก็บในแนวตั้ง

  3. ชั้นวางเพิ่มเติม: เพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในตู้

  4. ตัวแบ่งลิ้นชัก: ช่วยจัดระเบียบสิ่งของขนาดเล็ก

ผู้เชี่ยวชาญด้าน Interior Design แนะนำให้ลงทุนกับอุปกรณ์จัดเก็บคุณภาพดี เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาสภาพของสิ่งของได้ดีกว่า

เทคนิคการจัดวางที่สวยงามและมีประโยชน์

การจัดวางที่ลงตัวต้องผสมผสานระหว่างความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย:

  1. จัดตามสี: จัดเรียงของตามโทนสีช่วยให้ดูเป็นระเบียบและสวยงาม

  2. คำนึงถึงความสมดุล: กระจายน้ำหนักของสิ่งของให้สมดุลทั่วทั้งตู้

  3. เว้นพื้นที่ว่าง: อย่าจัดเก็บจนแน่นเกินไป ควรเว้นพื้นที่ว่างประมาณ 20% เผื่อสำหรับของใหม่

การประยุกต์ใช้หลัก 80/20 ในแต่ละห้อง

ห้องครัว: จัดตู้เก็บของให้ทำอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ห้องครัวเป็นพื้นที่ที่การจัดเก็บตามหลัก 80/20 จะเห็นผลชัดเจนที่สุด:

  1. ชั้นระดับสายตา: เก็บเครื่องปรุง จาน ชาม ที่ใช้ทุกวัน

  2. ลิ้นชักใกล้มือ: เก็บอุปกรณ์ทำครัวที่ใช้บ่อย เช่น มีด ช้อนส้อม

  3. ชั้นล่าง: เก็บหม้อ กระทะ ที่มีน้ำหนักมาก

  4. ชั้นบน: เก็บของที่ใช้นานๆ ครั้ง เช่น เครื่องทำขนม อุปกรณ์งานเลี้ยง

การวิจัยจากสมาคมออกแบบครัวไทยพบว่า ครัวที่จัดเก็บตามหลักการ 80/20 สามารถลดเวลาในการทำอาหารลงได้ถึง 25%

ห้องนอน: จัดตู้เสื้อผ้าให้แต่งตัวได้รวดเร็ว

ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกพื้นที่ที่หลักการ 80/20 ช่วยได้มาก:

  1. แขวนในระดับสายตา: เสื้อผ้าที่ใส่บ่อยที่สุด

  2. ลิ้นชักบน: ชุดชั้นในและถุงเท้าที่ใช้ทุกวัน

  3. ชั้นกลาง: เสื้อผ้าที่พับเก็บและใช้บ่อย

  4. ชั้นบนและล่าง: เสื้อผ้าตามฤดูกาลที่ไม่ได้ใช้ในปัจจุบัน

Home Stylist ชั้นนำแนะนำให้จัดเสื้อผ้าตามสีและประเภทการใช้งาน เช่น ชุดทำงาน ชุดลำลอง เพื่อให้หยิบใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น

ห้องทำงาน: จัดตู้เอกสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับห้องทำงาน การจัด ตู้เก็บของ ตามหลัก 80/20 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก:

  1. ลิ้นชักบนสุด: เก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ใช้บ่อย

  2. ชั้นระดับสายตา: เก็บแฟ้มเอกสารที่กำลังทำงานอยู่

  3. ชั้นล่าง: เก็บเอกสารอ้างอิงที่ใช้เป็นครั้งคราว

  4. ตู้เก็บเอกสาร: จัดเรียงตามความถี่ในการใช้งาน ไม่ใช่ตามตัวอักษร

การศึกษาด้านการยศาสตร์พบว่า การจัดพื้นที่ทำงานตามหลัก 80/20 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 40% และลดความเมื่อยล้าจากการทำงานได้อย่างมีนัยสำคัญ

การบำรุงรักษาระบบการจัดเก็บ 80/20

การจัด ตู้เก็บของ ตามหลัก 80/20 ไม่ใช่งานครั้งเดียวจบ แต่ต้องมีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง:

ทบทวนและปรับปรุงเป็นประจำ

  1. ทบทวนทุก 3-6 เดือน: ตรวจสอบว่าของที่คุณจัดวางในตำแหน่ง "ใช้บ่อย" ยังเป็นของที่ใช้บ่อยจริงหรือไม่

  2. ปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล: สลับของใช้ตามฤดูกาลให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

  3. กำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็น: ทุกครั้งที่ทบทวน ให้พิจารณาว่ามีอะไรที่ควรบริจาคหรือกำจัดทิ้ง

สร้างนิสัยการจัดเก็บที่ดี

การรักษาระบบการจัดเก็บให้ยั่งยืนต้องอาศัยการสร้างนิสัยที่ดี:

  1. เก็บของคืนที่เดิมทันที: หลังใช้งานเสร็จ ให้เก็บคืนที่เดิมทันที

  2. หนึ่งเข้า หนึ่งออก: ทุกครั้งที่ซื้อของใหม่ ให้พิจารณากำจัดของเก่าชิ้นหนึ่ง

  3. ทำความสะอาดเป็นประจำ: ทำความสะอาดตู้และชั้นวางอย่างสม่ำเสมอ

ผู้เชี่ยวชาญด้าน Home Stylist แนะนำว่า การใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อวันในการจัดเก็บของให้เป็นระเบียบจะช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาสิ่งของได้มากกว่า 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ประโยชน์ของการจัด ตู้เก็บของ ตามหลัก 80/20

การจัด ตู้เก็บของ ตามหลักการ 80/20 ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านของคุณเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมาย:

  1. ประหยัดเวลา: ลดเวลาในการค้นหาสิ่งของที่ใช้บ่อย

  2. ลดความเครียด: บ้านที่เป็นระเบียบช่วยลดความเครียดและเพิ่มความรู้สึกสงบ

  3. เพิ่มพื้นที่ใช้สอย: การกำจัดของที่ไม่จำเป็นช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในบ้าน

  4. ประหยัดเงิน: รู้ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน ช่วยลดการซื้อของซ้ำโดยไม่จำเป็น

การวิจัยด้าน Interior Design พบว่า บ้านที่จัดเก็บอย่างเป็นระบบตามหลัก 80/20 สามารถเพิ่มมูลค่าของบ้านได้ถึง 5-10% เมื่อเทียบกับบ้านที่มีลักษณะและทำเลเดียวกันแต่จัดเก็บไม่เป็นระเบียบ

การเริ่มต้นอาจดูเป็นงานใหญ่ แต่เมื่อคุณได้จัดระบบตามหลัก 80/20 แล้ว คุณจะพบว่าชีวิตประจำวันของคุณง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

Cart

Close

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options

Close