ตู้เก็บของ ที่ทำจากวัสดุชนิดต่างๆ เหมาะ/ไม่เหมาะ กับการใช้งานแบบไหนบ้าง

รูปแบบการใช้งานที่ “เหมาะสม” และ “ไม่เหมาะสม” กับ ตู้เก็บของ แต่ละประเภท

1. ตู้ไม้จริง (Solid Wood)

ตู้ที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง อย่างไม้โอ๊ค ไม้สัก และไม้มะฮอกกานี มีจุดเด่นอยู่ที่ความแข็งแรงทนทาน ความสามารถในการรับน้ำหนัก และความสวยงามดูคลาสสิค แต่ขณะเดียวกัน ตู้ไม้แท้ก็มักมีราคาสูง อีกทั้งอาจผุพังได้เมื่อเจอกับความชื้นเป็นเวลานาน การใช้งานที่เหมาะและไม่เหมาะกับ ตู้เก็บของ ไม้จริงจึงมีดังนี้

เหมาะกับ:

• การใช้งานในบ้านทั่วๆ เช่น ภายในห้องนอน ห้องโถง หรือห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างคงที่ ไม่ต้องสัมผัสกับแสงแดดและความชื้นมากนัก
• การจัดเก็บสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เช่น ตู้เก็บหนังสือ ตู้เก็บจานชาม ชั้นวางเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือตู้เสื้อผ้า
• บ้านที่มีการตกแต่งที่เน้นความคลาสสิค ดูอบอุ่น และเป็นธรรมชาติ เช่น บ้านสไตล์วินเทจ รัสติก และคันทรี่

ไม่เหมาะกับ:

• การวางในพื้นที่ชื้นแฉะหรือสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำในโซนเปียก หรือภายนอกบ้านที่ไม่มีหลังคาปกคลุม เนื่องจากตู้ไม้จะมีโอกาสผุพังได้ง่าย
• ที่อยู่อาศัยชั่วคราวที่อาจต้องมีการโยกย้ายบ่อยๆ เนื่องจากตู้ไม้จริงมักมีน้ำหนักค่อนข้างมากและไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย

2. ตู้ไม้เทียม (Engineered Wood) 

วัสดุไม้เทียม เช่น ไม้อัด MDF ไม้วีเนียร์ ไม้แผ่นเคลือบลามิเนต พาร์ทิเคิลบอร์ด และปาร์เกต์ มีจุดเด่นอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูใกล้เคียงกับไม้จริง อีกทั้งยังมาในราคาที่ย่อมเยากว่า อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความแข็งแรงทนทานและความสวยงามเป็นธรรมชาติก็อาจจะยังด้อยกว่าตู้ที่ทำจากไม้แท้ รูปแบบการใช้งานที่เหมาะและไม่เหมาะกับตู้ไม้เทียมจึงมีดังนี้

เหมาะกับ:

• การใช้งานภายในบ้านทั่วไป ในพื้นที่ไม่เปียกชื้น โดยควรใช้เก็บสิ่งของที่น้ำหนักไม่มากเกินไป
• การตกแต่งบ้านในสไตล์โมเดิร์น มินิมอล ลอฟท์ หรือสไตล์อื่นๆ ที่ต้องการเติมลวดลายไม้เข้ามาทำให้บรรยากาศอบอุ่นและดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

ไม่เหมาะกับ:

• พื้นที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ เคาน์เตอร์ครัว หรือภายนอกบ้าน เนื่องจากไม้เทียมที่โดนความชื้นอาจบวมและเสื่อมสภาพได้เร็ว
• การใช้เก็บสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินไป
• การวางในจุดที่มีการสัญจรไปมา ซึ่งอาจถูกกระแทกเฉี่ยวชนได้ง่าย เนื่องจากอาจทำให้ตู้ไม้เทียมเสียหายได้

3. ตู้กระจก (Glass)

ตู้กระจกมีข้อดีอยู่ที่ความโปร่งใส ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งของภายในได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังสามารถปกป้องสิ่งของจากฝุ่นละอองได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ความเปราะบาง เพราะกระจกอาจแตกร้าวได้เมื่อถูกกระแทกเฉี่ยวชน รวมถึงหากไม่ดูแลทำความสะอาดเป็นประจำก็อาจทำให้ผิวกระจกมัวหมองลงได้

เหมาะกับ:

• ตู้กระจกเหมาะจะใช้เป็นตู้โชว์สำหรับเก็บของสะสม ของสวยงาม หรือวางของตกแต่งต่างๆ
• การวางในบริเวณที่ต้องการความโปร่งแสง หรือให้แสงส่องผ่านได้ เช่น ในโถงทางเดิน หรือห้องรับแขก ที่ต้องการความโปร่งโล่งสบายตา

ไม่เหมาะกับ:

• พื้นที่ที่อาจเกิดการกระแทกเฉี่ยวชน หรือเกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย เช่น ห้องครัว หรือพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก
• พื้นที่เปียกชื้น ซึ่งผู้คนและสิ่งของอาจเกิดการลื่นจนไปชนให้ตู้กระจกเสียหายได้
• การใช้เป็น ตู้เก็บของ เล่นและของใช้สำหรับเด็ก หรือวางไว้ในห้องเด็ก

4. ตู้สแตนเลส (Stainless Steel)

สแตนเลสเป็นวัสดุที่มีความทนทาน กันน้ำ กันสนิม อีกทั้งยังสามารถรับน้ำหนักสิ่งของได้ดี แต่อาจจะมีจุดด้อยตรงที่รูปลักษณ์ซึ่งไม่เข้ากับการแต่งบ้านสไตล์อบอุ่นมากนัก ลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับตู้สแตนเลสจึงได้แก่

เหมาะกับ:

• การใช้เก็บของในพื้นที่เปียกชื้น บริเวณที่อาจต้องสัมผัสความร้อน หรือมีการใช้งานอย่างหนัก เช่น ห้องครัว โรงจอดรถ โรงงาน โกดัง ห้องเก็บของ ภายในสำนักงาน ไปจนถึงพื้นที่ภายนอกบ้าน เนื่องจาก ตู้เก็บขอ งสแตนเลสนั้นมีความทนต่อสภาพแวดล้อมสูง
• การวางสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เช่น หนังสือ เอกสารจำนวนมาก เครื่องครัว จานชาม หรืออุปกรณ์ช่างต่างๆ

ไม่เหมาะกับ:

• การตกแต่งบ้านในสไตล์อบอุ่น ผ่อนคลาย หรือต้องการความเป็นธรรมชาติ เช่น สไตล์วินเทจ สไตล์ชนบท และสแกนดิเนเวียน เนื่องจากสแตนเลสมักให้ความรู้สึกที่แข็งทื่อ และดูไม่เข้ากับบรรยากาศแบบธรรมชาติ

5. ตู้โลหะ (Metal)

ตู้ที่ทำจากโลหะชนิดต่างๆ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม โลหะชุบหรือโลหะผสมชนิดอื่นๆ มักมีจุดเด่นอยู่ที่ความแข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบา และสามารถรับน้ำหนักได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน โลหะบางชนิดก็อาจมีความทนต่อสภาพแวดล้อมต่ำและเกิดสนิมได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้ผ่านการเคลือบป้องกันสนิมก่อน การใช้งานที่เหมาะและไม่เหมาะกับ ตู้เก็บของ โลหะจึงมีดังนี้

เหมาะกับ:

• การใช้เก็บสิ่งของภายนอกบ้าน ในโรงงาน โรงจอดรถ รวมถึงพื้นที่เปียกชื้น (เฉพาะตู้ที่ทำจากอะลูมิเนียมและโลหะที่มีการเคลือบกันสนิม)
• เหมาะกับบ้านที่อาจมีการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์บ่อยๆ เนื่องจากตู้โลหะมักมีน้ำหนักเบา รวมถึงอาจพิจารณาเลือกตู้แบบที่พับเก็บได้ หรือถอด-ประกอบได้
• ใช้เป็นตู้ล็อคเกอร์ตามอาคารสำนักงาน โรงเรียน หรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ

ไม่เหมาะกับ:

• การตกแต่งบ้านที่เน้นความอบอุ่นหรือต้องการบรรยากาศที่เรียบหรู เนื่องจากโลหะนั้นให้ภาพลักษณ์ที่ดูดิบแข็ง และไม่เข้ากับ mood & tone ที่ดูอบอุ่นสบายๆ
• ตู้ที่ทำจากโลหะทั่วไปชนิดที่ไม่ได้กันสนิม ไม่เหมาะจะใช้วางนอกชายคา หรือในพื้นที่ที่ต้องสัมผัสน้ำโดยตรง

6. ตู้พลาสติก (Plastic)

ตู้และชั้นวางของที่ทำจากพลาสติก ส่วนมากมักมาในขนาดกะทัดรัดและมีราคาย่อมเยา รวมถึงมีดีไซน์และสีสันที่หลากหลาย แต่จุดอ่อนของตู้พลาสติกนั้นก็คือความแข็งแรงทนทานและการรับน้ำหนักได้ไม่มากนัก

เหมาะกับ:

• การใช้งานในบ้านทั่วไป โดยใช้เก็บของที่มีน้ำหนักไม่มากนัก
• การใช้งานในพื้นที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ริมระเบียง หรือใช้กับงานในสวนเล็กๆ ที่ต้องการความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
• ห้องพักที่มีพื้นที่จำกัด รวมถึงที่อยู่อาศัยชั่วคราวที่อาจต้องมีการโยกย้ายไปมาบ่อยครั้ง

ไม่เหมาะกับ:

• การเก็บสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เช่น หนังสือ จานชาม อุปกรณ์ไฟฟ้า
• พื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก หรือการใช้งานแบบถาวร เนื่องจากพลาสติกมักเสื่อมสภาพและเปราะแตกง่ายกว่าวัสดุชนิดอื่น
• พื้นที่ที่ต้องสัมผัสความร้อนสูง เช่น ใกล้กับเตาไฟหรือเตาอบ

ตู้เก็บของ ที่ทำจากวัสดุต่างๆ นั้นมีคุณสมบัติและจุดเด่น-จุดด้อยที่แตกต่างกันไป การเลือกชนิดวัสดุของตู้ให้เหมาะสมจึงต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและลักษณะการใช้งานเป็นหลัก เช่น ตู้ไม้จริงเหมาะกับการใช้ในบ้านเพื่อเก็บของที่มีน้ำหนักมาก ในขณะที่ตู้กระจกเหมาะจะใช้สำหรับโชว์สิ่งของ เป็นต้น นอกจากนี้ การคำนึงถึงการดูแลรักษาและความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ก็อาจเป็นสิ่งที่หลายบ้านต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วยเช่นเดียวกัน