Skip to content

Welcome to Lounge Lovers Store

Lounge Lovers
Now Reading:
การทำความสะอาด พรมปูพื้น ลึกระดับมืออาชีพ วิธีดูแล พรม ให้ใหม่และไร้กลิ่นอับ
Next article

การทำความสะอาด พรมปูพื้น ลึกระดับมืออาชีพ วิธีดูแล พรม ให้ใหม่และไร้กลิ่นอับ

พรมปูพื้นเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตกแต่งภายในที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่น สร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ และเสริมสไตล์ให้กับบ้านของคุณ แต่หลายคนมักละเลยการดูแลรักษาพรมอย่างถูกวิธี ทำให้พรมกลายเป็นแหล่งสะสมฝุ่น ไรฝุ่น แบคทีเรีย และกลิ่นอับที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในบ้านและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย พบว่า 78% ของเจ้าของบ้านที่มีพรมปูพื้น ทำความสะอาดพรมเพียงผิวเผินด้วยการดูดฝุ่นเท่านั้น โดยมีเพียง 22% เท่านั้นที่ใช้บริการทำความสะอาดพรมแบบลึกอย่างน้อยปีละครั้ง บทความนี้จะแนะนำวิธีการทำความสะอาดพรมปูพื้นระดับมืออาชีพที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานและรักษาความสวยงามของพรมให้คงอยู่ยาวนาน

ทำความเข้าใจประเภทของพรมปูพื้นและวิธีการดูแลที่เหมาะสม

พรมปูพื้นมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของพรมที่คุณมีจะช่วยให้คุณเลือกวิธีทำความสะอาดที่เหมาะสมและปลอดภัย

พรมขนสั้น (Cut Pile)

พรมประเภทนี้เป็นที่นิยมในบ้านเรือนทั่วไป เนื่องจากดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อการใช้งาน เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ห้องนั่งเล่น ทางเดิน

วิธีดูแล: ดูดฝุ่นสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และทำความสะอาดลึกทุก 6-12 เดือน

พรมขนยาว (Shag or Frieze)

พรมประเภทนี้ให้ความรู้สึกหรูหรา นุ่มสบาย แต่มักสะสมฝุ่นและสิ่งสกปรกได้ง่าย

วิธีดูแล: ดูดฝุ่นสัปดาห์ละครั้งด้วยหัวดูดพิเศษสำหรับพรมขนยาว และทำความสะอาดลึกทุก 4-6 เดือน

พรมทอ (Loop Pile)

พรมประเภทนี้มีความทนทานสูง นิยมใช้ในพื้นที่สาธารณะหรือสำนักงาน

วิธีดูแล: ดูดฝุ่นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และทำความสะอาดลึกทุก 6 เดือน

พรมไหม (Silk Carpet)

พรมไหมเป็นพรมระดับพรีเมียม มีราคาสูง ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

วิธีดูแล: ดูดฝุ่นเบาๆ สัปดาห์ละครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมากเกินไป และควรใช้บริการทำความสะอาดมืออาชีพเท่านั้น


อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดพรมปูพื้น

การเตรียมอุปกรณ์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำความสะอาดพรมอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คืออุปกรณ์พื้นฐานที่คุณควรมี:

  1. เครื่องดูดฝุ่นคุณภาพดี - ควรเลือกรุ่นที่มีแรงดูดสูงและมีหัวดูดสำหรับพรมโดยเฉพาะ

  2. เครื่องซักพรม - สามารถเช่าได้จากร้านอุปกรณ์ทำความสะอาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่

  3. น้ำยาทำความสะอาดพรม - เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทของพรม

  4. น้ำยาขจัดคราบฝังลึก - สำหรับคราบเฉพาะจุดที่ยากต่อการกำจัด

  5. แปรงขนนุ่ม - สำหรับขัดคราบเบาๆ โดยไม่ทำลายเส้นใยพรม

  6. ผ้าขนหนูสะอาด - สำหรับซับน้ำหรือความชื้น

  7. เบกกิ้งโซดา - ตัวช่วยธรรมชาติในการดับกลิ่นและดูดซับความชื้น

ขั้นตอนการทำความสะอาดพรมปูพื้นแบบมืออาชีพ

การทำความสะอาดพรมอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยรักษาความสวยงาม แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาคุณภาพอากาศภายในบ้านของคุณ ต่อไปนี้คือขั้นตอนการทำความสะอาดพรมแบบมืออาชีพที่คุณสามารถทำได้เอง:

1. การเตรียมพื้นที่

ก่อนเริ่มทำความสะอาด ควรเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกจากพื้นที่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ให้ใช้แผ่นพลาสติกหรือฟอยล์อะลูมิเนียมรองขาเฟอร์นิเจอร์เพื่อป้องกันความเสียหาย

2. การดูดฝุ่นอย่างทั่วถึง

ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดทำความสะอาดพรมอย่างทั่วถึง โดยดูดซ้ำหลายๆ ครั้งในทิศทางที่แตกต่างกัน เพื่อให้แน่ใจว่าได้กำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่ฝังลึกในเส้นใยพรม สถิติจาก Thailand Cleaning Association ระบุว่า การดูดฝุ่นอย่างถูกวิธีสามารถกำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกได้ถึง 80%

3. การจัดการกับคราบเฉพาะจุด

สำรวจพรมเพื่อหาคราบเฉพาะจุด เช่น คราบอาหาร เครื่องดื่ม หรือคราบสกปรกอื่นๆ และทำความสะอาดด้วยน้ำยาขจัดคราบที่เหมาะสม

สำหรับคราบเปียก (เช่น น้ำผลไม้, กาแฟ):

  1. ซับคราบด้วยผ้าสะอาดทันที อย่าถู

  2. ผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อยกับน้ำอุ่น

  3. ใช้ผ้าชุบน้ำยาบิดหมาดๆ แตะเบาๆ ที่คราบจากขอบเข้าสู่ศูนย์กลาง

  4. ล้างด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้ง

สำหรับคราบแห้ง (เช่น โคลน, ฝุ่น):

  1. รอให้คราบแห้งสนิท

  2. ขูดเศษที่แห้งออกเบาๆ

  3. ดูดฝุ่นบริเวณนั้น

  4. ใช้น้ำยาขจัดคราบตามคำแนะนำบนฉลาก

4. การทำความสะอาดลึก

หลังจากจัดการกับคราบเฉพาะจุดแล้ว ให้ทำความสะอาดพรมทั้งผืนด้วยเครื่องซักพรม โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

  1. เติมน้ำอุ่นและน้ำยาทำความสะอาดพรมลงในเครื่องตามคำแนะนำ

  2. เริ่มทำความสะอาดจากมุมไกลสุดของห้อง ทำงานย้อนกลับไปทางประตู

  3. ทำความสะอาดในแนวทางเดียวกัน โดยให้แต่ละแนวทับกันเล็กน้อย

  4. อย่าทำให้พรมเปียกมากเกินไป เพราะจะทำให้แห้งยากและอาจเกิดเชื้อรา

  5. ทำซ้ำด้วยน้ำสะอาดเพื่อล้างน้ำยาออกให้หมด

การศึกษาจาก Interior Design Thailand พบว่า การทำความสะอาดลึกอย่างถูกวิธีสามารถกำจัดสิ่งสกปรกและแบคทีเรียได้ถึง 95% และช่วยยืดอายุพรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การทำให้แห้ง

การทำให้พรมแห้งอย่างถูกวิธีเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับ:

  1. เปิดหน้าต่างและประตูเพื่อให้อากาศถ่ายเท

  2. ใช้พัดลมเป่าเพื่อเร่งการระเหยของน้ำ

  3. เปิดเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้น (ถ้ามี)

  4. หลีกเลี่ยงการเดินบนพรมจนกว่าจะแห้งสนิท (ประมาณ 6-12 ชั่วโมง)

เทคนิคการกำจัดกลิ่นอับจากพรมปูพื้น

กลิ่นอับเป็นปัญหาที่พบบ่อยในพรมที่ใช้งานมานาน โดยเฉพาะในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงหรือในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง นี่คือเทคนิคการกำจัดกลิ่นอับอย่างมีประสิทธิภาพ:

1. การใช้เบกกิ้งโซดา

เบกกิ้งโซดาเป็นตัวดูดซับกลิ่นธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง:

  1. โรยเบกกิ้งโซดาให้ทั่วพรม

  2. ใช้แปรงขนนุ่มแปรงเบาๆ ให้เบกกิ้งโซดาแทรกซึมลงในเส้นใยพรม

  3. ทิ้งไว้อย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง หรือข้ามคืนสำหรับกลิ่นรุนแรง

  4. ดูดฝุ่นให้ทั่วเพื่อกำจัดเบกกิ้งโซดา

2. การใช้น้ำส้มสายชูขาว

น้ำส้มสายชูขาวมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและกำจัดกลิ่น:

  1. ผสมน้ำส้มสายชูขาวกับน้ำในอัตราส่วน 1:1

  2. ใส่ในขวดสเปรย์และฉีดพ่นเบาๆ บนพรม (ทดสอบในพื้นที่เล็กๆ ก่อน)

  3. ทิ้งไว้ให้แห้ง กลิ่นน้ำส้มสายชูจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอับ

3. การใช้น้ำยาดับกลิ่นเฉพาะสำหรับพรม

มีผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพรม ซึ่งไม่เพียงแต่กลบกลิ่น แต่ยังช่วยทำลายแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นอับ ให้ใช้ตามคำแนะนำบนฉลาก

ผลการวิจัยจาก Home Stylist Association พบว่า การใช้วิธีธรรมชาติเช่นเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูสามารถกำจัดกลิ่นได้ถึง 85% โดยไม่ต้องใช้สารเคมีรุนแรง

การบำรุงรักษาพรมปูพื้นให้สวยงามตลอดเวลา

การดูแลรักษาพรมอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการยืดอายุการใช้งานและรักษาความสวยงาม นี่คือเคล็ดลับการบำรุงรักษาพรมในระยะยาว:

1. การดูดฝุ่นเป็นประจำ

ดูดฝุ่นพรมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นในพื้นที่ที่มีการสัญจรสูงหรือมีสัตว์เลี้ยง การดูดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกฝังลึกในเส้นใยพรม

2. การจัดการกับคราบทันที

เมื่อเกิดคราบหกเลอะ ให้จัดการทันที อย่าปล่อยให้คราบแห้งและฝังลึก เพราะจะทำให้กำจัดยากขึ้น

3. การหมุนพรมเป็นระยะ

หากเป็นพรมที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ควรหมุนพรมทุก 6 เดือนเพื่อให้การสึกหรอเท่ากันทั้งผืน

4. การใช้แผ่นรองพรม

แผ่นรองพรมไม่เพียงช่วยป้องกันการลื่น แต่ยังช่วยลดการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของพรม

5. การทำความสะอาดลึกตามกำหนดเวลา

ทำความสะอาดลึกอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งาน แม้พรมจะดูสะอาดจากภายนอก แต่อาจมีฝุ่นและแบคทีเรียสะสมอยู่ภายใน

จากข้อมูลของ Interior Design Thailand พบว่า บ้านที่มีการบำรุงรักษาพรมอย่างสม่ำเสมอสามารถยืดอายุการใช้งานพรมได้นานกว่า 50% เมื่อเทียบกับบ้านที่ไม่มีการบำรุงรักษาที่เหมาะสม

เมื่อไรควรเรียกใช้บริการมืออาชีพ

แม้ว่าการทำความสะอาดพรมด้วยตัวเองจะมีประสิทธิภาพในหลายกรณี แต่มีบางสถานการณ์ที่ควรพิจารณาใช้บริการมืออาชีพ:

  1. พรมมีอายุการใช้งานมากกว่า 2 ปีโดยไม่เคยทำความสะอาดลึก

  2. มีคราบฝังลึกที่ไม่สามารถกำจัดได้ด้วยวิธีทั่วไป

  3. มีกลิ่นอับรุนแรงที่ไม่หายไปแม้จะทำความสะอาดแล้ว

  4. มีสมาชิกในครอบครัวที่มีอาการแพ้หรือปัญหาระบบทางเดินหายใจ

  5. พรมเปียกชื้นเป็นเวลานานและอาจมีเชื้อรา

  6. พรมมีมูลค่าสูงหรือเป็นพรมที่ต้องการการดูแลพิเศษ เช่น พรมไหม พรมโบราณ

ผู้เชี่ยวชาญด้าน Home Stylist แนะนำว่า การใช้บริการทำความสะอาดพรมมืออาชีพอย่างน้อยปีละครั้งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับการรักษาคุณภาพพรมและสุขภาพของผู้อยู่อาศัย

การดูแลพรมปูพื้นอย่างถูกวิธีเพื่อความสวยงามและอายุการใช้งานที่ยาวนาน

พรมปูพื้นเป็นการลงทุนที่สำคัญในการตกแต่งบ้าน การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยรักษาความสวยงาม แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพภายในบ้าน

การทำความสะอาดพรมอย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีที่เหมาะสมกับประเภทของพรม การจัดการกับคราบและกลิ่นอย่างทันท่วงที และการบำรุงรักษาในระยะยาว จะช่วยให้พรมของคุณดูใหม่และสวยงามอยู่เสมอ

อย่าลืมว่า การลงทุนเวลาในการดูแลพรมวันนี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนพรมใหม่ในอนาคต และที่สำคัญที่สุด คือการมีพื้นที่อยู่อาศัยที่สะอาด ปลอดภัย และน่าอยู่สำหรับคุณและครอบครัว

Cart

Close

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options

Close