Skip to content

Welcome to our store

Lounge Lovers
Previous article
Now Reading:
พรมปูพื้นสำหรับบ้านที่มีปัญหาเรื่องเสียง เลือกแบบไหนที่ช่วยดูดซับเสียงได้ดี
Next article

พรมปูพื้นสำหรับบ้านที่มีปัญหาเรื่องเสียง เลือกแบบไหนที่ช่วยดูดซับเสียงได้ดี

ในยุคที่หลายคนต้องทำงานจากที่บ้าน การมีพื้นที่ที่เงียบสงบกลายเป็นสิ่งจำเป็น ปัญหาเสียงรบกวนในบ้านอาจมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเสียงฝีเท้า เสียงสะท้อนจากพื้นแข็ง หรือเสียงจากภายนอกที่แทรกซึมเข้ามา พรมปูพื้น จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับการตกแต่งบ้านแล้ว พรมยังมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงที่ดีเยี่ยม

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของพรมปูพื้นที่ช่วยลดเสียงรบกวน เหมาะสำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ต้องการสร้างพื้นที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพภายในบ้าน หรือผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพเสียงในที่พักอาศัย

หลักการทำงานของพรมในการดูดซับเสียง

กลไกการดูดซับเสียงของพรมปูพื้น

พรมปูพื้นช่วยลดเสียงรบกวนได้ด้วยกลไกหลัก 2 ประการ คือ การดูดซับเสียง (Sound Absorption) และการลดการสะท้อนของเสียง (Sound Reflection Reduction) วัสดุนุ่มของพรมจะช่วยดูดซับคลื่นเสียงแทนที่จะสะท้อนกลับเหมือนพื้นแข็ง ทำให้เสียงในห้องนุ่มนวลขึ้น

จากการศึกษาของสมาคมพรมและสิ่งทอแห่งประเทศไทย พบว่าพรมสามารถลดเสียงรบกวนได้ถึง 25-35 เดซิเบล ขึ้นอยู่กับประเภทและความหนาของพรม เมื่อเทียบกับพื้นแข็งอย่างกระเบื้องหรือไม้ที่มักสะท้อนเสียงได้มากกว่า

ค่า NRC (Noise Reduction Coefficient) ในพรม

ค่า NRC หรือค่าสัมประสิทธิ์การลดเสียงรบกวน เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงของวัสดุ โดยมีค่าตั้งแต่ 0 (ไม่ดูดซับเสียงเลย) ถึง 1 (ดูดซับเสียงได้สมบูรณ์)

พรมปูพื้นทั่วไปมีค่า NRC อยู่ที่ประมาณ 0.2-0.7 โดยพรมที่มีความหนาและความหนาแน่นมากจะมีค่า NRC สูงกว่า ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงที่ดีกว่า

ประเภทของพรมปูพื้นที่ช่วยลดเสียงรบกวน

พรมขนสัตว์ธรรมชาติ (Wool Carpet)

พรมขนสัตว์ธรรมชาติโดยเฉพาะขนแกะ เป็นตัวเลือกระดับพรีเมียมที่มีคุณสมบัติดูดซับเสียงได้ดีเยี่ยม ด้วยโครงสร้างเส้นใยที่ซับซ้อนและเป็นธรรมชาติ ทำให้สามารถดักจับคลื่นเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดี:

  • ดูดซับเสียงได้ดีเยี่ยม มีค่า NRC สูงถึง 0.5-0.7

  • ทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน

  • เป็นวัสดุธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ข้อเสีย:

  • ราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้นที่ประมาณ 2,500-5,000 บาทต่อตารางเมตร

  • ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ

  • อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน

พรมใยสังเคราะห์ (Synthetic Carpet)

พรมใยสังเคราะห์ เช่น ไนลอน โพลีเอสเตอร์ หรืออะคริลิค เป็นทางเลือกที่นิยมเนื่องจากราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีหลากหลายรูปแบบ

ข้อดี:

  • ราคาประหยัดกว่า เริ่มต้นที่ประมาณ 800-2,000 บาทต่อตารางเมตร

  • มีความหลากหลายของสี ลวดลาย และความหนา

  • ดูแลรักษาง่าย ทนต่อคราบเปื้อน

ข้อเสีย:

  • ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงอาจด้อยกว่าพรมขนสัตว์ธรรมชาติ มีค่า NRC ประมาณ 0.2-0.5

  • อายุการใช้งานสั้นกว่า

  • ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเท่าวัสดุธรรมชาติ

พรมแบบแผ่น (Carpet Tiles)

พรมแบบแผ่นหรือพรมไทล์ เป็นนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ เนื่องจากความยืดหยุ่นในการติดตั้งและการบำรุงรักษา

ข้อดี:

  • ติดตั้งและเปลี่ยนง่าย สามารถเปลี่ยนเฉพาะส่วนที่เสียหาย

  • เหมาะกับพื้นที่ทำงานที่มีการปรับเปลี่ยนบ่อย

  • มีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย สามารถสร้างลวดลายเฉพาะได้

ข้อเสีย:

  • อาจมีรอยต่อที่เป็นช่องให้เสียงลอดผ่านได้

  • ราคาอาจสูงกว่าพรมม้วนในบางรุ่น

  • ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงขึ้นอยู่กับความหนาและวัสดุ

พรมแบบลอยตัว (Area Rugs)

พรมแบบลอยตัวหรือพรมปูเฉพาะจุด เป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการปูพรมทั้งห้อง

ข้อดี:

  • สามารถย้ายตำแหน่งหรือเปลี่ยนได้ง่าย

  • เหมาะสำหรับผู้เช่าที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพื้นถาวรได้

  • มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบและราคา

ข้อเสีย:

  • ครอบคลุมพื้นที่ได้จำกัด ทำให้ประสิทธิภาพการลดเสียงโดยรวมน้อยกว่า

  • อาจเลื่อนหรือม้วนงอได้หากไม่มีการยึดติด

  • ต้องใช้หลายผืนหากต้องการครอบคลุมพื้นที่มาก

ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับเสียงของพรม

ความหนาของพรม

ความหนาของพรมเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับเสียง โดยทั่วไปพรมที่หนากว่าจะดูดซับเสียงได้ดีกว่า

จากการทดสอบพบว่า:

  • พรมบางความหนา 6-8 มม. มีค่า NRC ประมาณ 0.2-0.3

  • พรมปานกลางความหนา 10-15 มม. มีค่า NRC ประมาณ 0.3-0.5

  • พรมหนาความหนา 15-25 มม. ขึ้นไป มีค่า NRC ประมาณ 0.5-0.7

ความหนาแน่นของเส้นใย

ความหนาแน่นของเส้นใยในพรมมีผลต่อการดูดซับเสียงเช่นกัน พรมที่มีเส้นใยหนาแน่นจะมีพื้นที่ผิวมากกว่าสำหรับดักจับคลื่นเสียง

พรมที่มีความหนาแน่นสูง (High Pile Density) จะมีประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงความถี่สูงได้ดีกว่า ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่มักก่อให้เกิดความรำคาญ เช่น เสียงพูดคุย เสียงโทรศัพท์ หรือเสียงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

แผ่นรองใต้พรม (Carpet Underlay)

แผ่นรองใต้พรมเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการดูดซับเสียง

การใช้แผ่นรองใต้พรมที่มีคุณภาพดีสามารถเพิ่มค่า NRC ได้ถึง 0.1-0.3 โดยแผ่นรองที่ทำจากยางหรือโฟมความหนาแน่นสูงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เทคนิคการเลือกและติดตั้งพรมเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการลดเสียง

การเลือกพรมให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งาน

การเลือกพรมให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานและระดับเสียงรบกวนในแต่ละพื้นที่

ห้องทำงาน/Home Office:

  • ควรเลือกพรมที่มีความหนาปานกลางถึงมาก (12-20 มม.)

  • พิจารณาพรมแบบแผ่น (Carpet Tiles) สำหรับความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน

  • ค่า NRC ที่แนะนำ: 0.4-0.6

ห้องนอน:

  • เน้นพรมที่นุ่มและหนา (15-25 มม.)

  • พิจารณาพรมขนสัตว์ธรรมชาติหรือพรมใยสังเคราะห์เกรดสูง

  • ค่า NRC ที่แนะนำ: 0.5-0.7

ห้องนั่งเล่น/พื้นที่ส่วนกลาง:

  • เลือกพรมที่ทนทานต่อการสัญจรสูง แต่ยังคงมีความหนาเพียงพอ (10-15 มม.)

  • พิจารณาพรมลอยตัวขนาดใหญ่หรือพรมปูเต็มพื้น

  • ค่า NRC ที่แนะนำ: 0.3-0.5

เทคนิคการติดตั้งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

การติดตั้งพรมอย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับเสียง:

  1. ใช้แผ่นรองใต้พรมคุณภาพดี: เลือกแผ่นรองที่มีความหนาอย่างน้อย 8-10 มม. และทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติดูดซับเสียง เช่น ยางรีไซเคิลหรือโฟมความหนาแน่นสูง

  2. ติดตั้งแบบยึดติด: การติดตั้งแบบยึดติดกับพื้น (Glue-down) จะให้ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงดีกว่าการวางลอยๆ เนื่องจากไม่มีช่องว่างให้เสียงสะท้อน

  3. ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด: ยิ่งพื้นที่ปูพรมมากเท่าไร ประสิทธิภาพการดูดซับเสียงโดยรวมก็จะยิ่งดีขึ้น

  4. ใส่ใจบริเวณรอยต่อ: สำหรับพรมแบบแผ่น ควรติดตั้งให้รอยต่อชิดกันมากที่สุดเพื่อป้องกันการรั่วไหลของเสียง

การดูแลรักษาพรมเพื่อคงประสิทธิภาพการดูดซับเสียง

การดูแลรักษาพรมอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ยังช่วยรักษาประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงด้วย:

  1. ทำความสะอาดสม่ำเสมอ: ดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันการอัดแน่นของเส้นใย

  2. ซักทำความสะอาดลึก: ควรซักทำความสะอาดลึกทุก 12-18 เดือน เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึกซึ่งอาจลดประสิทธิภาพการดูดซับเสียง

  3. แก้ไขความเสียหายทันที: หากพรมเกิดการชำรุด เช่น ขาด หลุดลุ่ย ควรซ่อมแซมทันทีเพื่อป้องกันความเสียหายลุกลาม

  4. หมุนเวียนตำแหน่ง: สำหรับพรมลอยตัว ควรหมุนเวียนตำแหน่งทุก 6 เดือนเพื่อให้การสึกหรอเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

ทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากพรมสำหรับการลดเสียงรบกวน

การใช้พรมร่วมกับวิธีอื่นๆ

การใช้พรมปูพื้นร่วมกับวิธีการลดเสียงรบกวนอื่นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:

  1. ผนังดูดซับเสียง: ติดตั้งแผ่นดูดซับเสียงบนผนังเพื่อลดการสะท้อนของเสียง

  2. ม่านหนา: ใช้ม่านเนื้อหนาเพื่อลดเสียงที่มาจากภายนอก

  3. เฟอร์นิเจอร์บุนวม: เพิ่มเฟอร์นิเจอร์บุนวม เช่น โซฟา เก้าอี้ เพื่อเพิ่มพื้นผิวดูดซับเสียง

  4. ซีลช่องว่าง: อุดรอยรั่วรอบประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันเสียงแทรกซึม

นวัตกรรมใหม่ในวงการพรมดูดซับเสียง

ปัจจุบันมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในวงการพรมที่เน้นคุณสมบัติการดูดซับเสียง:

  1. พรมอะคูสติก (Acoustic Carpet): พรมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการดูดซับเสียง มีค่า NRC สูงถึง 0.7-0.9

  2. พรมรักษ์โลก (Eco-Acoustic Carpet): พรมที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลแต่ยังคงคุณสมบัติการดูดซับเสียงที่ดี

  3. พรมไมโครไฟเบอร์เทคโนโลยีใหม่: ใช้เส้นใยขนาดเล็กพิเศษที่เพิ่มพื้นที่ผิวสำหรับการดูดซับเสียง

การเลือกพรมปูพื้นที่เหมาะสมกับความต้องการด้านเสียง

การเลือกพรมปูพื้นที่เหมาะสมสำหรับการลดเสียงรบกวนไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจหลักการพื้นฐานและปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการดูดซับเสียง

สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่ต้องการสร้างพื้นที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพ การลงทุนในพรมคุณภาพดีถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากช่วยเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน ลดความเครียดจากเสียงรบกวน และสร้างบรรยากาศที่เป็นมืออาชีพ

พิจารณาความต้องการเฉพาะของคุณ ทั้งในแง่ของงบประมาณ พื้นที่ใช้งาน และระดับการลดเสียงที่ต้องการ เพื่อเลือกพรมที่เหมาะสมที่สุด และอย่าลืมว่าการใช้พรมร่วมกับวิธีการลดเสียงอื่นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Cart

Close

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options

Close