หลักการที่จะสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมให้กับแต่ละห้องให้น่าอยู่และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แสงสว่างคือสิ่งจำเป็น ซึ่งไม่ใช่แค่การคิดแค่ว่ามีแสงสว่างในห้องให้สามารถมองเห็นได้ก็เพียงพอแล้วเท่านั้น ทว่าการจัดแสงให้สมบูรณ์แบบสำหรับแต่ละห้องภายในบ้านให้ดูสบายตาจะต้องมีการวางแผนที่ไม่ใช่เรื่อง่ายเหมือนกับการเสียบปลั๊กโคมไฟตั้งโต๊ะแล้วจบเพียงเท่านั้น การจัดค่าความสว่างของแสงในแต่ละห้องให้เพียงพอจะช่วยสร้างความสมดุลและเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้ได้ทั้งความสวยงามและบรรยากาศที่น่าอยู่อาศัย

การจัดแสงสว่างสำหรับห้องอาหาร

สิ่งสำคัญสองอย่างสำหรับการจัดแสงให้ห้องรับประทานอาหารที่ไม่ใช่การจัดแสงเหมือนกับห้องครัว การจัดแสงโคมไฟต่างๆ ภายในห้องจะแบ่งออกเป็นแบบ

1.General lighting ซึ่งก็คือแสงสว่างที่เปิดใช้งานสำหรับกิจกรรมทั่วๆ ไปในแต่ละวัน

2.Accent lighting สำหรับสร้างจุดดึงดูดสายตา โดยมีการจัดแต่งแสงทั้งสองรูปแบบเอาไว้ด้วยกันภายในห้อง อย่างไรก็ตามหากเป็นห้องรับประทานอาหารที่ไม่ได้ต้องการความหวือหวาจนเกินไป อาจจะเลือกการจัดแสงจากโคมไฟต่างๆ เพียงแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบห้อง การใช้งาน และขนาดพื้นที่ หลักๆ ที่ควรมีคือโคมไฟระย้า ที่มีดวงไฟเป็นเส้นยาวซ่อนตัวอยู่ด้านในโครงสร้าง ซึ่งจะช่วยให้แสงกระจายตัวออกมาด้านข้าง และควรติดตั้งโคมไฟส่องเฉพาะจุดเอาไว้ด้วย กรณีต้องการสร้างบรรยากาศให้ห้องอาหาร ควรติดตั้งเป็นแสงไฟแบบ dimmer ซึ่งเป็นโคมไฟติดผนังที่ช่วยส่องสว่างความโดดเด่นเป็นจุดๆ ตามต้องการ

การจัดแสงสว่างสำหรับห้องครัว

ลักษณะแสงไฟที่สำคัญสำหรับห้องครัวแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

1. General lighting เช่นเดียวกันกับห้องรับประทานอาหาร

2.Task lighting ที่ใช้เป็นแสงเฉพาะจุดสำหรับการใช้งานในแต่ละฟังก์ชั่น โดยเน้นความสะดวกเป็นหลัก

3. Accent lighting แสงไฟแบบนี้จะช่วยเพิ่มความนุ่มนวลสายตาให้ห้องครัวได้เป็นอย่างดี

การจัดแสงสว่างสำหรับห้องนั่งเล่น

ห้องนั่งเล่นแบ่งรูปแบบการจัดแสงสว่างเป็น 3 รูปแบบเช่นเดียวกัน นั่นคือ

1.General lighting สำหรับการใช้งานให้แสงสว่างสมดุลทั้งห้อง

2.Task lighting เล่นเป็นโคมไฟ Dimmer เพื่อส่องสว่างเฉพาะจุด เสริมความโดดเด่นในตำแหน่งที่ต้องการอวดโฉมภายในห้อง

3.Accent Lighting เลือกสร้างจุดเด่นแค่บางพื้นที่และสร้างบรรยากาศในตำแหน่งที่ต้องการ อาจะเลือกเป็นโคมไฟระย้า หรือโคมไฟแขวนเพดานแบบเรียบๆ แต่ให้ความรู้สึกสบายตา

การจัดแสงสว่างสำหรับห้องน้ำ

ลักษณะแสงไฟที่สำคัญสำหรับห้องน้ำแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

1.General Lighting เน้นเป็นโคมไฟติดเพดานส่องสว่างเฉพาะจุด หรือจะเป็นแบบฟลัชเมาท์ที่ช่วยทำให้รู้สึกสบายตา เน้นองค์ประกอบที่สูงขึ้นไปบนเพดาน มีเอกลักษณ์ที่สวยงาม โดดเด่นด้านการดีไซน์ที่ดีกว่าแบบ spotlight ทั่วไป ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์เพดานห้องน้ำให้ดูไม่น่าเบื่อ

2. Task Lighting เน้นจัดแสงสว่างให้พุ่งตรงไปยังบริเวณพื้นที่ใช้งาน เช่น โต๊ะเครื่องแป้ง หรือกระจกเงา เป็นต้น

3.Accent Lighting แสงสื่ออารมณ์เพื่อเน้นเฉพาะในส่วนที่ต้องการให้เกิดความรู้สึกสบายตา โดยอาจจะเลือกเป็นโคมไฟระย้า โคมไฟติดผนังแบบ Sconce ที่ให้บรรยากาศเหมือนแสงเทียนละมุนตา

การจัดแสงสำหรับห้องนอน

ลักษณะแสงไฟที่สำคัญสำหรับห้องนอนแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

1.General Lighting ติดตั้งโคมไฟติดเพดานที่เน้นส่องสว่างเฉพาะจุด จำเอาไว้ด้วยว่า แสงในห้องนอนไม่ควรสว่างจ้ามากเกินไป เลือกเป็นหลอดไฟแบบฟลัชเมาท์ และโคมไฟติดผนัง โดยทั้งหมดให้เลือกเป็นสวิตซ์ไฟแบบ Dimmer เพื่อช่วยปรับแสงสว่างให้พอดีกับความต้องการ

2. Task Lighting เน้นการจัดแสงสว่างในจุดเฉพาะที่ หลักๆ ที่เลือกใช้คือการจัดแสงบริเวณมุมอ่านหนังสือ ควรเลือกเป็นโคมไฟ swing arm ติดผนังที่ใช้หลอดแบบ Sconce เพื่อช่วยปรับทิศทางแสงได้ดั่งใจ

3.Accent Lighting เลือกใช้เป็นโคมไฟระย้า โคมไฟติดผนังแบบ wall sconces ทั่วไป โคมไฟระย้าแบบโคมไฟกิ่ง โคมไฟตั้งโต๊ะ และโคมไฟตั้งพื้นด้วยสำหรับจัดวางในมุมโปรดที่ต้องการตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

การจัดแสงสำหรับห้องทำงาน

ลักษณะแสงไฟที่สำคัญสำหรับห้องทำงานแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันคือ

1.General Lighting ตำแหน่งของโคมไฟติดเพดานแบบฝังส่องเฉพาะจุด มีโคมไฟระย้าด้านบนโต๊ะทำงานเพื่อเพิ่มแสงสว่าง

2. Task Lighting ควรเลือกใช้โคมไฟที่เน้นเพื่อการทำงามากกว่าความสวยงาม โดยเลือกเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะ หรือโคมไฟหนีบ

3.Accent lighting เน้นสร้างบรรยากาศที่ดีเฉพาะจุด และสร้างอารมณ์ห้องทำงานให้ดูผ่อนคลาย โดยหลักๆ เลือกเป็นโคมไฟแบบติดผนัง, โคมไฟตั้งโต๊ะ และโคมไฟตั้งพื้น

เนื่องจากห้องแต่ละห้อง มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากต้องการบรรยากาศที่ลงตัว การจัดแสงที่ถูกต้องจะช่วยให้เกิดประโยชน์และความสวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ