โคมไฟดาวน์ไลท์เป็นโคมไฟที่ได้รับความนิยมอีกประเภทหนึ่งในปัจจุบัน ด้วยลักษณะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็มีการจัดแบ่งการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปด้วย ลักษณะจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มโคมไฟแขวนเพดาน เราอาจจะเห็นได้หลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบวงกลม แบบเหลี่ยม แบบที่มีขั้วให้ใส่หลอดไฟได้เพียงหลอดเดียว บางชนิดก็มีให้ใส่ได้สองหลอดขึ้นไป และยังแยกย่อยอยู่ในกลุ่มที่สามารถปรับองศาของตัวโคมไฟได้อีกด้วย
ตามหลักของนักออกแบบแล้ว โคมไฟประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มโคมไฟแบบ "ส่องลง" เรียกว่า "Downlight Luminair" การใช้งานจะใช้เพื่อให้แสงสว่างกระจายลงพื้นด้านล่าง ดังนั้นหากเลือกให้ดี ก็จะทำให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม คุ้มค่ากับราคา มือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับโคมไฟดาวน์ไลท์ ควรทำความเข้าใจให้มากขึ้น จะได้รู้ว่าแบบไหนที่เข้ากันได้กับห้องต่างๆ บ้าง
วิธีเลือกซื้อตามตำแหน่งการใส่หลอด
แม้ว่าการเลือกโคมไฟดาวน์ไลท์จะมีหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่มือใหม่พึงจำไว้เป็นพื้นฐานก็คือตำแหน่งของดวงโคมที่ออกแบบมาว่าจะเหมาะสำหรับใส่หลอดแบบไหน โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นสองแบบ คือ ดวงโคมที่ต้องใส่หลอดในแนวตั้ง มักจะถูกนำมาใช้กับการใส่หลอดไส้และหลอดตะเกียบ ส่วนอีกแบบจะเป็นดวงโคมที่ใส่หลอดในแนวนอน เน้นใช้งานสำหรับหลอดตะเกียบ สังเกตความแตกต่างของดวงโคมได้ไม่ยาก เพราะแบบที่ใส่หลอดแนวนอน จะมีความยาวของโคมสั้นกว่า จึงเน้นใช้งานกับห้องที่มีพื้นที่ใต้ฝ้าไม่มากนัก
เปรียบเทียบผิวสะท้อนภายในโคมไฟ
ผิวสะท้อนที่เป็นวัสดุภายในโคมไฟมีผลกับการส่องสว่างได้อย่างมาก โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งจะให้แสงที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้ คือ
1.ผิวสะท้อนแบบมันวาว - จะเป็นประเภทที่เรียกว่า Clear Anodized ภายในจะเป็นผิวสะท้อนที่มีมันวาวชัดเจน เมื่อแสงจากหลอดไฟส่องกระทบ จะสะท้อนออกมาเป็นแสงสว่างจ้าได้มากที่สุด
2.ผิวสะท้อนแบบเหลี่ยมมุม - เรียกกันว่า Beehive Facet ซึ่งภายในผิวจะมีความมัน แต่ไม่เรียบเป็นผืนเดียวกัน มีเหลี่ยมมุมซึ่งจะทำให้เกิดการหักเหของแสง นิยมใช้งานกันตามร้านค้ามากกว่าจะใช้งานภายในบ้าน
3.พื้นผิวแบบพ่นทราย - เรียกกันว่า Sand Blast & Line Facet เป็นการผสมผสานระหว่างเหลี่ยมมุมและพื้นผิวที่เป็นทรายถูกพ่นเคลือบอยู่ ซึ่งทำให้ได้แสงสว่างที่หักเหบวกกับความนุ่มนวลออกมาพร้อมกัน เหมาะสำหรับการใช้งานในบรรยากาศที่ต้องการความผ่อนคลายเป็นพิเศษ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อดาวน์ไลท์
ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง จะว่าไปแล้วก็อาจจะอยู่ที่ความชอบของผู้ใช้งาน แต่ก็ต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่ต้องการติดตั้ง และลักษณะการสะท้อนแสงด้วย ซึ่งราคาของโคมไฟดาวน์ไลท์ที่พบเห็นในท้องตลาด จะมีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากคุณภาพ วัสดุ ระบบการใช้งาน ไปจนถึงการเชื่อมต่ออื่นๆ ดังนั้นหากต้องการความคุ้มค่ามากเป็นพิเศษ ก็ต้องใส่ใจรายละเอียดต่อไปนี้
1.วัสดุที่ใช้ทำขั้วรับหลอด - วัสดุที่ใช้ทำชี้ให้เห็นถึงคุณภาพและการใช้งาน เปรียบเทียบกันระหว่างขั้วรับหลอดที่เป็นสปริง การสัมผัสกันจะแน่นเป็นพิเศษ ทำให้กระแสไฟฟ้าถูกส่งผ่านอย่างต่อเนื่่อง สม่ำเสมอ แต่ถ้าเป็นแบบโลหะไม่ยืดหยุ่น อาจทำให้การสัมผัสกันไม่แน่นหนาเท่า เกิดปัญหาการใช้งานในระยะยาวตามมาได้
2.เลือกวัสดุที่เป็นพลาสติกเกรดดี - วัสดุที่เป็นส่วนประกอบของดวงโคม ควรเลือกใช้พลาสติกที่มีความทนทาน เป็นเกรดสูง คุณสมบัติหลักคือทนความร้อน เนื่องจากหลอดไฟจะใกล้กับตัวโคมมาก เสี่ยงที่ความร้อนจะทำให้พลาสติกที่ไม่มีคุณภาพละลาย จนเกิดเป็นอันตรายตามมา แน่นอนว่าพลาสติกที่อยู่ในเกรดต่ำ ยังทำให้อายุการใช้งานของโคมไฟลดลงตามมาด้วย
3.รหัสขั้วหลอดที่ระบุข้างโคม - รหัสเหล่านี้มีความสำคัญ และคนส่วนใหญ่จะมองข้าม ทว่าหากสังเกตให้ดีรหัสที่ข้างโคมจะเป็นตัวบอกว่าเหมาะกับการใช้งานคู่กับหลอดไฟแบบไหน เช่น หากตัวเลขระบุเป็น GU4 จะเหมาะสำหรับการใช้งานกับหลอดฮาโลเจน แต่หากเป็นตัวเลข E27 จะสามารถใช้ได้กับหลอดไส้ หลอดไส้ทรงกรวย และหลอดตะเกียบ เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับมือใหม่ที่จะช่วยให้การเลือกซื้อโคมไฟดาวน์ไลท์ทำได้ง่ายขึ้น มีความเหมาะสมกับการใช้งาน อีกทั้งช่วยให้เข้าใจการวางแผนติดตั้งได้อย่างถูกต้อง ให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องสว่างในทิศทางที่ตั้งใจไว้ได้แบบไม่ผิดเพี้ยน