ตู้เก็บจานชาม และเครื่องครัว เป็นเฟอร์นิเจอร์สำคัญที่จะช่วยจัดระเบียบสิ่งของภายในห้องครัวให้ดูสะอาดตา หยิบหาได้ง่าย และช่วยป้องกันความเสียหายให้แก่สิ่งของเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี โดยตู้สำหรับใช้งานในครัวนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ตู้เก็บของบานเลื่อน บานพับ ตู้แบบลิ้นชัก ตู้ตั้งพื้น ตู้แขวนติดผนัง อีกทั้งตู้แบบต่างๆ ก็ยังมีหลายดีไซน์และวัสดุ เช่น ตู้เก็บของไม้ อะลูมิเนียม และสแตนเลส เป็นต้น ในวันนี้เราเลยจะมาพูดถึงสิ่งสำคัญ 9 ข้อที่เราจะต้องคำนึงถึงก่อนการเลือกซื้อตู้สำหรับเก็บจานชามและเครื่องใช้ในห้องครัว เพื่อให้ตู้ที่เราซื้อมาสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการ ซึ่ง 9 ข้อนี้จะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย
9 ข้อสำคัญในการเลือกซื้อ ตู้เก็บจานชาม ในครัวมีอะไรบ้าง
ก่อนการเลือกซื้อตู้เก็บข้าวของเครื่องใช้ในครัว อาทิ จานชาม อุปกรณ์รับประทานอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแห้ง มีข้อสำคัญที่เราควรทราบดังนี้
1. เข้าใจกระบวนการทำงานในห้องครัว
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องคำนึงถึง ก็คือพื้นที่และทางเดินระหว่างอุปกรณ์ครัวชิ้นสำคัญที่เราใช้งานบ่อย อย่างเตาประกอบอาหาร อ่างล้างมือ และตู้เย็น ดังนั้น รูปแบบของตู้เก็บของที่เราเลือก รวมไปถึงพื้นที่จัดวาง จะต้องไม่ขัดขวางการสัญจรและการเข้าถึงของใช้ดังกล่าว เพื่อให้กระบวนการทำงานในครัวของเราลื่นไหลคล่องตัวและไร้อุปสรรครบกวน
2. คำนึงถึงสิ่งของที่ต้องการจัดเก็บ
ก่อนการเลือกซื้อตู้อาจต้องวางแผนสักหน่อยโดยดูจากบรรดาข้าวของที่เราต้องจัดเก็บ ตัวอย่างเช่น ตู้และชั้นที่มีช่องสูงๆ อาจเหมาะกับการวางหม้อ หม้อหุงข้าว หรืออุปกรณ์ที่ขนาดค่อนข้างใหญ่ ในขณะที่ช่องลิ้นชักที่มีความลึก อาจเหมาะกับการเก็บช้อนส้อม และขวดเครื่องปรุงต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้เรายังอาจเลือกตู้ที่มีทั้งส่วนเปิดโล่งและส่วนปิดทึบ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานหลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น
3. เลือกดีไซน์ที่ใช้งานได้จริง
รูปแบบและฟังก์ชันของ ตู้เก็บจานชาม ในห้องครัวของเรา ยังต้องพิจารณาถึงการใช้งานจริงเป็นเป็นหลักด้วย ตัวอย่างเช่น
- ชั้นที่สามารถเลื่อนเข้า-ออกได้ จะเหมาะแก่การวางหม้อ กระทะ และถ้วยชามขนาดใหญ่ เมื่อนำมาใส่ประกอบในตู้แบบตั้งพื้น ก็จะช่วยให้การหยิบใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น
- Lazy Susan หรือชั้นวางและถาดแบบหมุนได้ เป็นเครื่องมือที่เหมาะจะใส่ไว้ในตู้เข้ามุม รวมถึงใช้ในการเก็บของกระจุกกระจิกที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้สิ่งของสามารถหยิบใช้ได้ง่าย
- ช่องแบ่งในลิ้นชัก เหมาะกับการใช้จัดเก็บอุปกรณ์รับประทานอาหาร เช่น ช้อน ส้อม มีด และตะเกียบ ให้ดูเป็นระเบียบและหยิบง่าย
- การทำตู้แพนทรี (pantry cabinet) หรือตู้ทรงสูงสำหรับเก็บอาหารโดยเฉพาะ จะช่วยแยกเก็บอาหารแห้งแต่ละชนิดได้อย่างเป็นระเบียบและสามารถดูแลจัดการได้ง่าย
4. ตู้มีขนาดและความสูงที่เหมาะสม
ตู้เก็บของในครัวควรมีขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่ และมีความกว้างเพียงพอสำหรับการจัดเก็บสิ่งของที่ต้องการ นอกจากนี้ ความสูงของตู้ก็ควรสอดคล้องกับการใช้งานทั่วไป ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการซื้อตู้เก็บของใต้ซิงก์ล้างจาน หรือตู้เคาน์เตอร์ครัวที่ใช้จัดเตรียมอาหารได้ด้วย ก็ควรเลือกตู้ที่ไม่สูงเกินไปเพื่อให้ใช้งานได้สะดวก แต่หากต้องการซื้อตู้ตั้งพื้นสำหรับเก็บเครื่องครัวและจานชาม ก็สามารถเลือกตู้ทรงสูงเพื่อประหยัดเนื้อที่ได้ แต่ระดับของตู้ก็ไม่ควรสูงเกินไปจนไม่สมดุลกับความสูงของผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้ยากต่อการเอื้อมหยิบสิ่งของ
5. บานตู้และรูปแบบการเปิดเหมาะกับพื้นที่
การเลือกรูปแบบของตู้ยังต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่และแผนผังภายในห้องครัว ยกตัวอย่างเช่น หากห้องครัวมีพื้นที่จำกัดหรือต้องการวางตู้ไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างแคบ ก็อาจเลือกใช้ ตู้เก็บของบานเลื่อน หรือตู้บานพับ 2 ทบ เพื่อให้ประหยัดเนื้อที่และไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน แต่หากพื้นที่ในครัวกว้างขวางอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกใช้ตู้แบบบานพับเปิด-ปิด หรือตู้ลิ้นชัก เพื่อให้สะดวกยิ่งขึ้นต่อการหยิบสิ่งของเข้า-ออก
6. คำนึงถึงปลั๊กไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว
หากต้องการเลือกตู้หรือชั้นมาไว้สำหรับวางเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวโดยเฉพาะ จะต้องดูให้แน่ใจว่าตู้นั้นถูกออกแบบมาให้สามารถวางเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ รูปแบบไม่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน และพื้นผิวควรทานทนต่อความร้อน รวมถึงมีตำแหน่งจัดวางที่สามารถเข้าถึงปลั๊กไฟหรือปลั๊กพ่วงได้อย่างสะดวกและปลอดภัยด้วย
7. เลือกวัสดุอย่างชาญฉลาด
สำหรับตู้ที่ต้องใช้รับน้ำหนักมาก อาจลองพิจารณาวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน อย่างเช่น ตู้เก็บของไม้ เนื้อแข็งหรือไม้อัดยางกันน้ำ ซึ่งมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ส่วนใครที่เข้าครัวบ่อย และอยากได้ตู้เคาน์เตอร์ครัวที่ทนต่อความร้อน การใช้งานหนัก รวมถึงดูแลทำความสะอาดได้ง่าย ก็สามารถเลือกเป็นตู้สแตนเลสหรือท็อปตู้ที่ทำจากหินอ่อนซึ่งผ่านการเคลือบผิวแล้วก็ได้เช่นกัน
8. เลือกตู้หรือชั้นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้
การเลือกตู้หรือชั้นวางที่สามารถประกอบและปรับเปลี่ยนได้เอง จะช่วยให้เราสามารถจัดเก็บสิ่งของที่มีขนาดและความสูงต่างกันได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น รวมถึงเรายังสามารถปรับช่องเก็บของตามความต้องการจัดเก็บที่เปลี่ยนไปได้อีกด้วย ตู้รูปแบบนี้จึงเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการจัดระเบียบห้องครัวที่มีพื้นที่จำกัด
9. เลือกซื้อตู้เก็บของโดยคำนึงถึงอนาคต
การซื้อเฟอร์นิเจอร์ในวันนี้อาจยังต้องคำนึงถึงการใช้งานในวันหน้าด้วย ตัวอย่างเช่น ในอนาคตเราอาจอยากลองทำอาหารชนิดใหม่ๆ และต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องครัวชิ้นใหม่เพิ่มเติม จึงจำเป็นจะต้องเผื่อพื้นที่จัดเก็บของไว้สำหรับกรณีเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ ในการเลือก ตู้เก็บจานชาม สำหรับใช้ในครัว ก็ยังต้องพิจารณาถึงความต้องการและเทรนด์ใหม่ๆ ที่เราอาจอยากนำมาใช้ในอนาคตด้วย
การเลือกซื้อ ตู้เก็บจานชาม ในครัวโดยคำนึงถึงใจความสำคัญทั้ง 9 ข้อนี้ เช่น การเลือก ตู้เก็บของบานเลื่อน สำหรับพื้นที่คับแคบ หรือการเลือก ตู้เก็บของไม้ เนื้อแข็งสำหรับวางสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก เหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถซื้อตู้ครัวที่นอกจากจะตรงตามมาตรฐานด้านความสวยงามและรสนิยมแล้ว ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับการทำอาหารและช่วยให้พื้นที่ครัวถูกใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย