Skip to content

Welcome to Lounge Lovers Store

Lounge Lovers
Previous article
Now Reading:
Lighting for Ambiance จัดแสงอย่างไรให้บ้านดูอบอุ่นและมีมิติด้วย Home Styling
Next article

Lighting for Ambiance จัดแสงอย่างไรให้บ้านดูอบอุ่นและมีมิติด้วย Home Styling

แสงสว่างไม่เพียงแค่ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้เท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโฉมห้องธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่ได้อย่างน่าทึ่ง การจัดแสงที่ดีในบ้านเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Home Styling ที่มืออาชีพให้ความสำคัญ

ในประเทศไทยที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น การจัดแสงภายในบ้านไม่เพียงแต่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายได้อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้เทคนิคการจัดแสงแบบมืออาชีพที่จะช่วยยกระดับบ้านของคุณให้ดูมีมิติและอบอุ่นมากขึ้น ด้วยหลักการ Interior Design ที่ผสมผสานกับเทคนิค Home Styling อย่างลงตัว

หลักการพื้นฐานของการจัดแสงในบ้าน

ประเภทของแสงที่ใช้ใน Home Styling

การจัดแสงที่สมบูรณ์แบบต้องประกอบด้วยแสงหลัก 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีหน้าที่และความสำคัญแตกต่างกันไป:

  1. แสงหลัก (Ambient Lighting) - เป็นแสงพื้นฐานที่ให้ความสว่างทั่วทั้งห้อง มักมาจากโคมไฟเพดาน ไฟติดผนัง หรือไฟแขวน ข้อมูลจากสมาคมนักออกแบบตกแต่งภายในแห่งประเทศไทยระบุว่า แสงหลักควรให้ความสว่างประมาณ 60% ของแสงทั้งหมดในห้อง

  2. แสงเฉพาะจุด (Task Lighting) - เป็นแสงที่ให้ความสว่างเฉพาะบริเวณที่ต้องการความชัดเจนในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ ไฟใต้ตู้ในครัว หรือไฟส่องกระจกในห้องน้ำ

  3. แสงเน้น (Accent Lighting) - เป็นแสงที่ใช้เพื่อสร้างจุดเด่นหรือเน้นองค์ประกอบตกแต่งที่น่าสนใจ เช่น ภาพวาด งานศิลปะ หรือต้นไม้ในบ้าน แสงประเภทนี้มักมีความเข้มมากกว่าแสงหลักอย่างน้อย 3 เท่า

อุณหภูมิของแสงและผลต่อบรรยากาศ

อุณหภูมิของแสงวัดเป็นหน่วยเคลวิน (Kelvin) มีผลอย่างมากต่อความรู้สึกและบรรยากาศของห้อง:

  • แสงโทนอุ่น (2700K-3000K) - ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือพื้นที่พักผ่อน

  • แสงโทนกลาง (3500K-4100K) - ให้ความรู้สึกสบายตา เป็นกลาง เหมาะสำหรับห้องทำงาน ห้องครัว

  • แสงโทนเย็น (5000K-6500K) - ให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมาะสำหรับห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่ต้องการความชัดเจน


เทคนิคการจัดแสงเพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่น

การใช้ Layered Lighting เพื่อสร้างมิติ

การจัดแสงแบบหลายชั้น (Layered Lighting) เป็นเทคนิคที่ Home Stylist มืออาชีพนิยมใช้เพื่อสร้างมิติและความน่าสนใจให้กับพื้นที่:

  1. เริ่มจากแสงพื้นฐาน - ติดตั้งแสงหลักที่ให้ความสว่างทั่วห้อง แต่ไม่ควรสว่างจ้าเกินไป

  2. เพิ่มแสงระดับกลาง - ใช้โคมไฟตั้งพื้น (Floor Lamp) หรือโคมไฟตั้งโต๊ะ (Table Lamp) ที่มีความสูงระดับกลางของห้อง

  3. เสริมด้วยแสงระดับต่ำ - เพิ่มแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะขนาดเล็ก หรือไฟเส้นที่ซ่อนไว้ใต้เฟอร์นิเจอร์

  4. ตกแต่งด้วยแสงเน้น - ใช้ไฟส่องเฉพาะจุดเพื่อเน้นองค์ประกอบตกแต่งที่น่าสนใจ


การเลือกโคมไฟที่เหมาะสมกับสไตล์การตกแต่ง

โคมไฟไม่เพียงแต่เป็นแหล่งกำเนิดแสงเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบตกแต่งที่สำคัญในการสร้าง Home Styling ที่มีเอกลักษณ์:

  • สไตล์ร่วมสมัย (Contemporary) - เลือกโคมไฟที่มีรูปทรงเรียบง่าย สะอาดตา วัสดุอาจเป็นโลหะ แก้ว หรือพลาสติกคุณภาพสูง

  • สไตล์ลอฟท์ (Loft) - โคมไฟโลหะ มีดีไซน์อุตสาหกรรม อาจมีหลอดไฟแบบวินเทจ

  • สไตล์สแกนดิเนเวียน (Scandinavian) - โคมไฟที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หวาย มีสีโทนอ่อน

  • สไตล์ไทยร่วมสมัย (Thai Contemporary) - ผสมผสานวัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ หวาย กับรูปทรงร่วมสมัย


เทคนิคการจัดแสงตามพื้นที่ใช้งาน

ห้องนั่งเล่น: ศูนย์กลางความอบอุ่นของบ้าน

ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่ต้องการการจัดแสงที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย:

  1. ใช้ไฟหรี่ได้ - ติดตั้งสวิตช์หรี่ไฟ (Dimmer) สำหรับไฟหลักเพื่อปรับระดับความสว่างตามกิจกรรมและช่วงเวลา

  2. จัดวางโคมไฟอ่านหนังสือ - ตำแหน่งที่เหมาะสมคือด้านหลังหรือข้างโซฟา โดยความสูงของโคมควรอยู่เหนือไหล่เล็กน้อยเมื่อนั่ง

  3. เพิ่มแสงเน้นจุดเด่น - ใช้ไฟส่องภาพ (Picture Light) หรือไฟส่องผนัง (Wall Washer) เพื่อเน้นงานศิลปะหรือผนังที่มีพื้นผิวน่าสนใจ

  4. ใช้ไฟเส้นซ่อน - ซ่อนไฟ LED เส้นไว้ใต้ชั้นวางของหรือเฟอร์นิเจอร์เพื่อสร้างแสงนุ่มนวลและมิติให้กับห้อง


ห้องนอน: สร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยแสงนุ่มนวล

ห้องนอนต้องการแสงที่ช่วยส่งเสริมการพักผ่อนและการนอนหลับที่มีคุณภาพ:

  1. หลีกเลี่ยงแสงจ้าจากเพดาน - แทนที่ด้วยไฟติดผนังหรือโคมไฟตั้งพื้นที่ให้แสงอ่อนโยน

  2. ติดตั้งไฟอ่านหนังสือข้างเตียง - ควรมีสวิตช์แยกสำหรับแต่ละฝั่งของเตียง

  3. ใช้แสงอ่อนสำหรับกิจวัตรก่อนนอน - ไฟเส้น LED ซ่อนใต้เตียงหรือตู้เสื้อผ้าช่วยให้มองเห็นได้โดยไม่รบกวนการนอน

  4. เลือกหลอดไฟโทนอุ่น - อุณหภูมิสีประมาณ 2700K เหมาะสำหรับห้องนอนเพราะไม่รบกวนการผลิตเมลาโทนิน

ห้องครัวและห้องอาหาร: แสงฟังก์ชันผสานความสวยงาม

พื้นที่เตรียมและรับประทานอาหารต้องการทั้งแสงที่เพียงพอต่อการทำงานและแสงที่สร้างบรรยากาศน่ารับประทาน:

  1. ไฟใต้ตู้ครัว - ติดตั้งไฟ LED ใต้ตู้แขวนเพื่อส่องสว่างพื้นที่เตรียมอาหารโดยไม่เกิดเงา

  2. ไฟเหนือเกาะกลางครัว - ใช้โคมไฟห้อยระย่าหรือโคมไฟแนวอุตสาหกรรมเหนือเกาะกลาง โดยระยะห่างจากพื้นผิวควรอยู่ที่ 75-90 ซม.

  3. ไฟเหนือโต๊ะอาหาร - เลือกโคมไฟที่ให้แสงลงด้านล่างโดยตรง ไม่แยงตา และควรติดตั้งสวิตช์หรี่ไฟเพื่อปรับบรรยากาศ

  4. ไฟเน้นตู้โชว์ - หากมีตู้โชว์จาน ชาม หรือแก้วคริสตัล การติดไฟ LED ในตู้จะช่วยสร้างจุดสนใจได้ดี


เทคโนโลยีสมัยใหม่กับการจัดแสงในบ้าน

ระบบไฟอัจฉริยะและการควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน

เทคโนโลยีสมาร์ทโฮมกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดแสงในบ้านอย่างมาก:

  1. หลอดไฟอัจฉริยะ - สามารถปรับความสว่างและอุณหภูมิสีได้ตามต้องการผ่านแอปพลิเคชัน

  2. ระบบควบคุมแสงอัตโนมัติ - ตั้งเวลาเปิด-ปิดไฟ หรือเชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์การเคลื่อนไหว

  3. การสั่งงานด้วยเสียง - ใช้ระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ เช่น Google Assistant หรือ Alexa ในการควบคุมแสงสว่าง

  4. การตั้งค่าฉาก (Scene) - บันทึกการตั้งค่าแสงที่เหมาะกับกิจกรรมต่างๆ เช่น การดูหนัง การอ่านหนังสือ หรือการจัดปาร์ตี้


การเลือกใช้หลอด LED เพื่อความยั่งยืนและประหยัดพลังงาน

หลอด LED ไม่เพียงแต่ประหยัดพลังงานแต่ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกมากมายสำหรับ Home Styling:

  1. อายุการใช้งานยาวนาน - หลอด LED คุณภาพดีมีอายุการใช้งานถึง 25,000-50,000 ชั่วโมง เทียบกับหลอดไส้ที่มีอายุเพียง 1,000 ชั่วโมง

  2. ความหลากหลายของอุณหภูมิสี - มีให้เลือกตั้งแต่แสงโทนอุ่น (2700K) ไปจนถึงแสงโทนเย็น (6500K)

  3. ขนาดเล็กและยืดหยุ่น - สามารถนำไปใช้ในพื้นที่จำกัดหรือซ่อนไว้ในเฟอร์นิเจอร์ได้

  4. ไม่ปล่อยความร้อน - ทำให้ห้องเย็นกว่าเมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบดั้งเดิม ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศร้อนในประเทศไทย


เคล็ดลับจาก Home Stylist มืออาชีพ

การแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่มีแสงธรรมชาติน้อย

บ้านหรือคอนโดในเมืองมักประสบปัญหาแสงธรรมชาติไม่เพียงพอ นี่คือวิธีแก้ไขจาก Home Stylist มืออาชีพ:

  1. ใช้กระจกและวัสดุสะท้อนแสง - ติดตั้งกระจกตรงข้ามหน้าต่างเพื่อสะท้อนแสงธรรมชาติเข้ามาในห้อง

  2. เลือกสีผนังโทนอ่อน - สีอ่อนจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าสีเข้ม ทำให้ห้องดูสว่างขึ้น

  3. ใช้ไฟที่มีสเปกตรัมเต็ม (Full Spectrum) - หลอดไฟประเภทนี้ให้แสงที่ใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติมากที่สุด

  4. จัดวางแหล่งกำเนิดแสงในระดับสายตา - แสงที่มาจากระดับเดียวกับสายตาจะช่วยให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น

 "ในห้องที่มีแสงธรรมชาติน้อย การใช้แสงสะท้อนจากผนังและเพดานจะช่วยสร้างความรู้สึกโปร่งและกว้างได้มากกว่าการใช้ไฟส่องตรงลงมาจากเพดาน"

การสร้างสมดุลระหว่างความสวยงามและฟังก์ชันการใช้งาน

การจัดแสงที่ดีต้องคำนึงถึงทั้งความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย:

  1. วิเคราะห์กิจกรรมในแต่ละพื้นที่ - ก่อนเลือกโคมไฟ ให้พิจารณาว่าพื้นที่นั้นใช้ทำอะไรบ้าง

  2. ออกแบบระบบควบคุมที่ยืดหยุ่น - ใช้สวิตช์แยกสำหรับแสงแต่ละประเภทเพื่อปรับใช้ตามความต้องการ

  3. เลือกโคมไฟที่ทั้งสวยและใช้งานได้จริง - โคมไฟควรเข้ากับสไตล์การตกแต่งและให้แสงที่เหมาะสมกับพื้นที่

  4. คำนึงถึงการบำรุงรักษา - เลือกโคมไฟที่ทำความสะอาดง่ายและเปลี่ยนหลอดไฟได้สะดวก


การจัดแสงที่ดีเป็นมากกว่าการติดตั้งโคมไฟสวยๆ แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ผสมผสานความรู้ด้าน Home Styling และ Interior Design เข้าด้วยกัน การเลือกใช้แสงที่เหมาะสมจะช่วยเปลี่ยนบ้านธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีมิติ อบอุ่น และน่าอยู่

การจัดแสงที่มีประสิทธิภาพควรคำนึงถึงทั้งความสวยงาม ประโยชน์ใช้สอย และการประหยัดพลังงาน โดยใช้หลักการจัดแสงแบบหลายชั้น เลือกอุณหภูมิสีที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด

ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม การลงทุนกับระบบแสงสว่างที่ดีจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มมูลค่าให้กับที่อยู่อาศัยของคุณอย่างเห็นได้ชัด

Leave a comment

Your email address will not be published..

Cart

Close

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options

Close